Table of Contents
นอกจากเรื่องคุณภาพในการวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการ ความสำคัญรองลงมา ที่ถ้าหากไม่วางแผนให้ดีอาจทำให้คุณสมบัติที่ดีของห้องปฏิบัติการขาดหายไป สิ่งนั้นคือ “ความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ’’
ความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการแบ่งออกเป็นหลายๆส่วนซึ่งต้องวางแผนให้ครบทุกมิติครับ ซึ่งในบทความนี้เราจะเน้นความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการในส่วน “การจัดการสารเคมีในห้องปฏิบัติการ’’ กันครับ
การจัดการสารเคมีในห้องปฏิบัติการ เริ่มอย่างไร?
การจัดการสารเคมีในห้องปฏิบัติการ ก่อนอื่นห้องปฏิบัติการนั้นๆ จะรู้อยู่แล้วว่าห้องปฏิบัติการของตนเองนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อการวิเคราะห์ประเภทไหน เช่น ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์คุณภาพน้ำ น้ำเสีย น้ำดื่ม ก็ต้องวางแผนว่าจะวิเคราะห์ พารามิเตอร์อะไรบ้าง เช่น COD BOD pH TSS TDS โลหะหนักหรืออื่นๆ
ดังนั้นห้องปฏิบัติการจะรู้ว่าต้องใช้สารเคมีอะไรบ้างในการวิเคราะห์พารามิเตอร์เหล่านั้น หลังจากนั้นจะมีการดำเนินการจัดซื้อสารเคมีเข้ามาในห้องปฏิบัติการ
6 ขั้นตอนในการจัดการสารเคมี
โดยทั่วไปจะเริ่มจากจุดนี้ โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็นทั้งหมดคราวๆ 6 ขั้นตอนดังนี้
1. รับสารเคมี
ขั้นตอนการรับสารเคมีนี้ จะเป็นการตรวจสอบว่าสารเคมี ตรงตามที่ห้องปฏิบัติการได้สั่งซื้อหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นชื่อ ยี่ห้อ เกรดของสารเคมี ภาชนะที่บรรจุสารเคมีอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ จำนวนที่สั่งซื้อ
2. ตรวจสอบเอกสารประจำตัวของสารเคมี
สารเคมีแต่ละชนิดจะมีเอกสารกำกับ เช่น เอกสารข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมี (SDS) เอกสารรับรองผลการวิเคราะห์คุณภาพของสารเคมี (COA) ให้ดำเนินการตรวจสอบว่า ชื่อ ยี่ห้อ ความเข้มข้นสารเคมีในเอกสารเหล่านี้ตรงตามความต้องการของห้องปฏิบัติการหรือไม่
3. ลงทะเบียนสารเคมี
ขั้นตอนลงทะเบียนสารเคมีนี้ ห้องปฏิบัติการต้องทำแบบฟอร์มขึ้นมาเพื่อลงบันทึกประวัติสารเคมีที่รับเข้ามา ข้อมูลที่ควรบันทึกลงไปควรมี ดังนี้ ชื่อสารเคมี ยี่ห้อ ผู้ผลิต/ผู้นำเข้า CAS No. วัตถุประสงค์ในการใช้งาน ปริมาณรับเข้า วันที่ลงทะเบียนสารเคมี รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีชนิดนั้นๆที่ต้องปฏิบัติตาม การลงทะเบียนสารเคมีจะเป็นการลงทะเบียนในครั้งแรกที่นำมาใช้ในห้องปฏิบัติการ
4. การจัดเก็บสารเคมี
ก่อนจะถึงขั้นตอนการจัดเก็บต้องทราบก่อนว่า สารเคมีที่จะจัดเก็บจะต้องพิจารณาคุณสมบัติของสารเคมีในเรื่องไหน และเรื่องไหนไม่นำมาพิจารณา รวมถึงสารเคมีที่จะจัดเก็บนั้นแบ่งออกเป็นกี่ประเภท
โดยในบทความนี้ขออ้างอิงตาม ประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม เรื่องคู่มือ การเก็บรักษาสารเคมีและวัตถุอันตราย กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ.2550
อ่านเพิ่มเติมได้จาก http://eis.diw.go.th/haz/hazard/pdf/pagad-kep-2550.pdf
4.1 การจัดเก็บสารเคมีพิจารณาตามคุณสมบัติของสารเคมี
การจัดเก็บสารเคมีในห้องปฏิบัติการจะพิจารณาจากความเป็นอันตรายของสารเคมีโดยจัดลำดับความสำคัญ ดังนี้
- สารติดเชื้อ (ประเภท 6.2)
- วัสดุกัมมันตรังสี (ประเภท 7)
- วัตถุระเบิด (ประเภท 1)
- ก๊าซอัด ก๊าซเหลว หรือก๊าซที่ละลายภายใต้ความดัน หรือก๊าซภายใต้ความดันในภาชนะบรรจุขนาดเล็ก (กระป๋องสเปรย์) (ประเภท 2A 2B)
- สารที่มีความเสี่ยงต่อการลุกไหม้ได้เอง (ประเภท 4.2)
- สารให้ก๊าซไวไฟเมื่อสัมผัสกับน้ำ (ประเภท 4.3)
- สารเปอร์ออกไซด์อินทรีย์ (ประเภท 5.2)
- สารออกซิไดซ์ (ประเภท 5.1A, 5.1B และ5.1C)
- ของแข็งไวไฟ (ประเภท 3A และ3B)
- สารติดไฟที่เป็นสารพิษ (ประเภท 6.1A)
- สารไม่ติดไปที่เป็นสารพิษ (ประเภท 6.1B)
- สารติดไฟที่เป็นสารกัดกร่อน (ประเภท 8A)
- สารไม่ติดไฟที่เป็นสารกัดกร่อน (ประเภท 8B)
- ของเหลวติดไฟที่ไม่อยู่ในประเภท 3A หรือ 3B (ประเภท 10)
- ของแข็งติดไฟ (ประเภท 11)
- ของเหลวไม่ติดไฟ (ประเภท 12)
- ของแข็งไม่ติดไฟ (ประเภท 13)
หมายเหตุ : สารเคมีที่เป็นสารผสม มีส่วนผสมของสารเคมีหลายชนิด การเก็บรักษาให้เป็นไปตามคุณสมบัติหลัก*ของสารผสมนั้น ดูจาก SDS
4.2 การจัดเก็บสารเคมีพิจารณาตามประเภทสารเคมี
ประเภทของสารเคมีมีทั้งหมด 13 ประเภทดังนี้
- ประเภท 1 วัตถุระเบิด (Explosive substance)
- ประเภท 2A ก๊าซอัด ก๊าซเหลว หรือก๊าซที่ละลายภายใต้ความดัน (Compressed liquefied and dissolved gases)
- ประเภท 2B ก๊าซภายใต้ความดันในภาชนะบรรจุขนาดเล็ก (Pressurized small gas containers; aerosol can/aerosol container)
- ประเภท 3A ของเหลวไวไฟ (Flammable liquids) คือ ของเหลวที่มีจุดวาบไฟไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส
- ประเภท 3B ของเหลวไวไฟ (Flammable liquids) คือ ของเหลวที่มีจุดวาบไฟระหว่าง 60 ถึง 93 องศาเซลเซียส
- ประเภท 4.1A ของแข็งไวไฟ (Flammable solids) ที่มีคุณสมบัติระเบิด (มีการเจือจางกับสารอื่นเพื่อข่มการคุณสมบัติการระเบิดไว้)
- ประเภท 4.1B ของแข็งไวไฟ (Flammable solids) ที่ไม่มีคุณสมบัติระเบิด สามารถติดไฟได้เมื่อเกิดการเสียดสี
- ประเภท 4.2 สารที่มีความเสี่ยงต่อการลุกไหม้ได้เอง (Substances liable to spontaneous combustion) ได้แก่ สาร Pyrophoric และ สาร Self-heating
- ประเภท 4.3 สารให้ก๊าซไวไฟเมื่อสัมผัสกับน้ำ (Substances which in contact with water emit flammable gases)
- ประเภท 5.1A 5.1B 5.1C สารออกซิไดซ์ (Oxidizing substances)
- ประเภท 5.2 สารเปอร์ออกไซด์อินทรีย์ (Organic peroxides)
- ประเภท 6.1A และ 6.1B สารพิษ (Toxic substances) แบ่งออกเป็น 6.1A คือ สารติดไฟที่มีคุณสมบัติความเป็นพิษ (Combustible toxic substances) และ 6.1B คือ สารไม่ติดไฟที่มีคุณสมบัติเป็นพิษ (Non-combustible toxic substances)
- ประเภท 6.2 สารติดเชื้อ (Infectious substances)
- ประเภท 7 วัสดุกัมมันตรังสี (Radioactive substances)
- ประเภท 8A และ 8B สารกัดกร่อน (Corrosive substances) แบ่งออกเป็น 8A คือสารติดไฟที่มีคุณสมบัติกัดกร่อน และ 8B คือสารที่ไม่ติดไฟที่มีคุณสมบัติกัดกร่อน
- ประเภท 9 เป็นวัตถุอันตรายประเภทอื่นๆ
- ประเภท 10 ของเหลวติดไฟ (Combustible liquids) คือของเหลวติดไฟที่ไม่ได้จัดอยู่ในประเภท 3A หรือ 3B
- ประเภท 11 ของแข็งติดไฟ (Combustible solids) คือของแข็งติดไฟที่ไม่อยู่ในประเภทของแข็งไวไฟ 4.1B
- ประเภท 12 ของเหลวไม่ติดไฟ (Non-combustible liquids)
- ประเภท 13 ของแข็งไม่ติดไฟ (Non-combustible solids)
4.3 ขั้นตอนการเก็บรักษา
การจะเก็บรักษาสารเคมีจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเราไม่รู้ข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมีนั้นๆ ดังนั้นต้องศึกษาข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมีจาก SDS ที่เราได้มาตั้งแต่ขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารประจำตัวของสารเคมีหลัก
จากนั้นดูคุณสมบัติ และแบ่งประเภทสารเคมีออกตาม ข้อ4.1 และ 4.2 ตามลำดับ และวิธีการจัดเก็บสารเคมีตามประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม เรื่อง คู่มือการจัดเก็บรักษาสารเคมีและวัตถุอันตรายแบ่งออกเป็น 2 วิธีคือ
- การจัดเก็บแบบแยกบริเวณ : เก็บสารเคมีแยกบริเวณออกจากกัน
- การจัดเก็บแบบแยกห่าง : สารเคมี 2 ชนิดขึ้นไปจัดเก็บในบริเวณเดียวกัน แต่ต้องมีมาตรการป้องกันที่ดี
ขั้นตอนนี้ส่วนใหญ่ห้องปฏิบัติการจะเก็บสารเคมีในปริมาณที่ไม่มากเท่ากับโรงงานอุตสาหกรรมแต่สามารถนำหลักการนี้ไปใช้ได้ในห้องปฏิบัติการของตนเองร่วมกับ หลักการอื่นๆเช่น การเรียงตามตัวอักษรหลังจากที่แยกคุณสมบัติของสารเคมี และประเภทของสารเคมีและมีการจัดเก็บตามวิธีข้างต้นไปแล้วสามารถนำเรียงตามตัวอักษรของสารเคมีในกลุ่มการจัดเก็บนั้นๆ
5. ขั้นตอนการกำหนดมาตรการป้องกัน
ขั้นตอนนี้เป็นการหามาตรการป้องกันอันตรายที่จะเกิดจากการใช้สารเคมี การจัดเก็บสารเคมี หรืออันตรายอื่นๆที่จะเกิดขึ้นได้ โดยทั่วไปห้องปฏิบัติการควรมีมาตรการคราวๆ ดังนี้
- การจัดหาอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยจากสารเคมีให้ผู้ปฏิบัติงานให้ห้องปฏิบัติการ
- มาตรการบังคับ เช่น ห้ามรับประทานอาหารเครื่องดื่ม ห้ามนำสารเคมีออกจากห้องปฏิบัติการเด็ดขาด มีผู้ควบคุมดูแลตรวจสอบการใช้สารเคมี เมื่อมีใช้สารเคมีแล้วทุกครั้งต้องล้างมือ
- ติดป้ายเครื่องหมายความเป็นอันตรายของสารเคมีในจุดที่จัดเก็บสารเคมี รวมถึงข้องมูลความปลอดภัยของสารเคมี SDS รวมถึงประเมินความเสี่ยงจากสารเคมีแต่ละตัว มีแผนรองรับ และควรมีการซ้อมแผนฉุกเฉินกรณีสารเคมีหกรั่วไหล
- บุคคลภายนอกห้ามเข้ามาในพื้นที่จัดเก็บสารเคมี
- มีขั้นตอนการจัดการขยะปนเปื้อนสารเคมี เช่น การจัดการภาชนะที่ใส่สารเคมีแล้ว
6. ขั้นตอนการเบิกจ่ายสารเคมี
ขั้นตอนนี้ห้องปฏิบัติการต้องจัดทำแบบฟอร์มในการบันทึกข้อมูลการใช้สารเคมีในห้องปฏิบัติการ เช่น วันที่เปิดใช้งาน ปริมาณที่ใช้ในแต่ละครั้ง วัตถุประสงค์การใช้งาน วันหมดอายุ ลงชื่อผู้ใช้งาน
สรุป การจัดการสารเคมีในห้องปฏิบัติการ
จะเห็นได้ว่าการจัดการสารเคมีในห้องปฏิบัติการเป็นเรื่องที่สำคัญและต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในเฉพาะด้าน เป็นการลดความเสี่ยงจากอันตรายของสารเคมีและบ่งบอกถึงความเป็นมาตรฐานของห้องปฏิบัติการนั้นๆ
ห้องปฏิบัติการบริษัท เอส เอส ซี ออยล์ จำกัด มีการจัดการและจัดเก็บสารเคมีตามมาตรฐาน และตามมาตรการที่ถูกต้อง เรามีการให้บริการในการวิเคราะห์น้ำทุกประเภทมาตรฐานในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม คอนโดมิเนียม โรงแรม พร้อมทั้งมีบริการเก็บตัวอย่างถึงที่ เปิดให้บริการวันจันทร์ ถึง เสาร์ เวลา 8.00-17.00 น.
สำหรับท่านที่สนใจต้องการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำหรือต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์สามารถติดต่อมาที่
เบอร์โทรศัพท์ 062-337-0067
ช่องทาง Line : @thaitestlab
อีเมล์ sscoillab@thailandwastemanagement.com
และสามารถติดตามผลงานของพวกเราได้ที่ช่องทาง
Facebook : ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์น้ำ บริการวิเคราะห์คุณภาพน้ำ บริการวิเคราะห์น้ำเสีย
TikTok : thaitestlab
บทความน่ารู้เพิ่มเติม
การจัดการของเสียจากห้องปฏิบัติการ ทำอย่างไรบ้าง?
การจัดการของเสียจากห้องปฏิบัติการจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความยั่งยืน ควบคู่กับการปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วันนี้เราจะมายกตัวอย่างวิธีการจัดการของเสียในแต่ละชนิดกัน
กระดาษลิตมัส (Litmus Paper) คืออะไร? ใช้งานอย่างไร?
กระดาษลิตมัส (Litmus Paper) เป็นเครื่องมือทางเคมีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารละลาย กระดาษลิตมัสมีบทบาทสำคัญในการทำงานในห้องปฏิบัติการ
ปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation Reaction) คืออะไร?
ปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation Reaction) ปฏิกิริยานี้เกี่ยวข้องกับการสูญเสียอิเล็กตรอนของสารหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้สารอีกตัวหนึ่งได้รับอิเล็กตรอนและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีอย่างต่อเนื่อง
วิธีการเช็กคุณภาพน้ำดื่มด้วยตัวเองเบื้องต้น
น้ำดื่มเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตของเรา เราต้องแน่ใจว่าน้ำที่เราดื่มนั้นสะอาดและปลอดภัยต่อสุขภาพ การตรวจสอบคุณภาพน้ำดื่มเบื้องต้นสามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยใช้วิธีง่าย ๆ ต่อไปนี้
วิเคราะห์คุณภาพน้ำดื่ม (Drinking Water Analysis)
การตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำดื่ม ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่มจากขวดบรรจุ หรือว่าน้ำประปาที่สามารถนำมาดื่มได้ เพื่อดูคุณสมบัติทางกายภาพ เคมี หรือทางด้านจุลินทรีย์ต่างๆ เพื่อให้ได้คุณภาพตามกฎหมายที่กำหนด
น้ำเสียคืออะไร วิเคราะห์อย่างไร (Sewage Waste Analysis)
น้ำเสีย (Sewage waste) คืออะไร แล้วเรามีวิธีการวิเคราะห์ Analysis อย่างไรบ้าง